เทศน์พระ

รู้โลกๆ

๙ ก.ย. ๒๕๕๗

 

รู้โลกๆ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราบวชมา เราบวชมา เห็นไหม เราหนีโลกมา โลกมันเร่าร้อนอย่างนั้น เรารู้จักคนแต่เราไม่รู้จักใจของคน เห็นหน้าของคน เห็นหน้าตาเขาแต่ไม่รู้จักความรู้สึกนึกคิดของเขา ความรู้สึกนึกคิดของเขา เห็นไหม เราอยากศึกษา ถ้าเราอยากศึกษานี่ ถ้าเรารอบรู้ เราศึกษา เราเท่าทันกันหมด เราทำสิ่งใดเราก็ไม่เป็นเหยื่อ แต่ในใจของเรา เรายังไม่รู้เท่าทันมันเลย แล้วเราจะไปรู้เท่าทันใจของคนอื่นได้ยังไง

ไอ้นั่นเรื่องจิตวิทยานะ นี่สังคมจิตวิทยา เวลาเขามีของเขา เขาเข้าใจของเขา การศึกษาของเขา เขาศึกษามาเพื่อมวลชน การควบคุมมวลชน การทำม็อบนี่เรื่องของการเมือง แต่มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง เราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่งเหมือนกัน สัตตะผู้ข้อง เราก็ผู้ข้องกับวัฏฏะ ผู้ข้องกับวัฏฏะ เราได้สร้างบุญกุศลของเรามาเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม เราได้มาบวชพระ บวชพระ เห็นไหม บวชพระเป็นนักพรต นักพรตไม่มีสมบัติเทียมหน้าเทียมตากับโลกเขา แต่นักพรต เห็นไหม นักพรตทั่วไปเขายังสะสมทรัพย์ของเขา เพื่อจะเทียมหน้าเทียมตาของเขา ไปไหนจะต้องเทียมหน้าเทียมตาเขา อันนั้นมันเป็นเรื่องของโลก

หลวงตาท่านพูดนะ ท่านสะท้อนใจมาก อู้ย หัวโล้นๆ ยังมีเครื่องยนต์กลไกไปแข่งกับชาวบ้านเขา ชาวบ้านเขาหัวดำๆ เขาหาอยู่หากิน ท่านสังเวชมากนะ ท่านสังเวชถึงพระที่ว่าอยากแสดงอำนาจบาตรใหญ่ให้เท่าทันกับโลกเขา ให้โลกเขายอมรับ โลกเขายอมรับได้ยังไง โลกเขายังแข่งขันกันเพื่อการยอมรับ เพื่อจะเป็นหัวหน้าสัตว์ เขาอยากเป็นหัวหน้าฝูง เราสละมาแล้ว เราสละจากโลกมา เห็นไหม เพราะเราเห็นแล้วว่าทางโลกมันเร่าร้อน มันเร่าร้อน เห็นไหม นี่โลกธรรม ๘

เราจะหาความร่มเย็นเป็นสุขของเรา เราบวชมาเป็นพระ เวลาเรามาบวชพระ บวชพระเพื่อมาชำระล้างกิเลสในหัวใจของเรา พอบวชขึ้นมาว่าบวชมาแล้วมันจะชุ่มเย็นๆ มันกลับยิ่งเร่าร้อนใหญ่ มันยิ่งร้อนเข้าไปอีก เห็นไหม เวลาคนจะสึกขาลาเพศไป เขาบอกร้อนผ้าเหลืองๆ อยู่ไม่ได้ หมดบุญๆ สึกไป เวลาเราบวชมาแล้วๆ กิเลสมันโดนกำจัดไง บวชแล้วกิเลสมันโดนขีดวงล้อมมันไง เห็นไหม มีศีลมีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา มันมีศีลขึ้นมา กิเลสมันเร่าร้อน

ถ้ากิเลสมันเร่าร้อน เร่าร้อนตบะธรรมก็แผดเผามันสิ เรามีศีล สมาธิ ปัญญา เราจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาเพื่อให้หัวใจร่มเย็นเป็นสุขเข้ามา ถ้าหัวใจร่มเย็นเป็นสุขเข้ามา เห็นไหม มันก็จะร่มเย็นเป็นสุขเข้ามา มันก็จะไม่เร่าร้อนแล้ว เพราะมันมีธรรมโอสถ มีธรรมะเป็นที่ชุ่มชื่น เห็นไหม มีความสุขมีความสงบระงับเข้ามา มันก็มีความสุข

เราบวชมาเพื่อแบบนี้ เราไม่ได้บวชมาแบบโลกเขา บวชขึ้นมาแล้วหาสถานะ เห็นไหม จะหาสถานะทางสังคม จะหาสถานะทางทรัพย์สินเพื่อไปเทียมหน้าเทียมตาเขา ไปไหนต้องโอ่อ่าๆ โอ้ย หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ในเทศน์ของท่าน ท่านสังเวชนะ ทำไมมาเหยียบย่ำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เต็มไม้เต็มมืออย่างนี้ ทำไมเหยียบย่ำได้ขนาดนี้ แล้วเอากิเลสมาเหยียบย่ำธรรมะแล้วจะไปเชิดหน้าชูตาเท่ากับเขา จะเอาเชิดหน้าชูตาไปกับโลกเขา จะเอาศักยภาพ เอาเรื่องโลกธรรมไปแข่งขันกับโลกเขา มันจะทำลายศาสนาได้ขนาดนี้

เวลาท่านสังเวชของท่าน เวลาท่านสังเวชของท่านนะ เราจะไปแข่งขันอะไรกับเขา เพราะเราสละมาแล้ว เราทิ้งมาแล้ว นั่นมันเรื่องของโลกมันไม่ใช่เรื่องของธรรม ถ้าเรื่องของธรรมเห็นไหม เราเป็นผู้มักน้อยเป็นผู้สันโดษ เราเป็นนักพรต เรามีผ้าสามผืน เรามีศีล มีสมาธิ เป็นอัตตัตถสมบัติ เรามีคุณธรรมในหัวใจของเราเป็นอัตตัตถสมบัติ เราแสวงหาสิ่งนี้เป็นที่พึ่งอาศัย เราเป็นนักบวชด้วยกัน เราจะยอมรับนะ ยอมรับพระที่ทำได้จริง

เวลาเราเคารพธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคารพธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่อาวุโส ภันเต เห็นไหม ถ้าเราอาวุโสน้อยกว่าเราต้องกราบต้องเคารพบูชาเพราะว่าท่านบวชมาก่อน ท่านเป็นพี่ เราเป็นน้อง ก็ว่ากันไปตามธรรมวินัย นี่ธรรมวินัยนะ แต่เวลาธรรมของหลวงตาท่านพูดเห็นไหม ถ้า ๑๐๐ พรรษา ๒๐๐ พรรษาก็แล้วแต่ถ้าไม่มีคุณธรรม ถ้าสามเณรน้อยมันมีคุณธรรมเห็นไหม เรายังชื่นใจกับสามเณรน้อย

บวชมาเมื่อวานนี้ ถ้าสำเร็จ สามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ เรากราบไหว้ นี่ธรรมวินัยบอกกราบไม่ได้ เรากราบเณรไม่ได้ กราบสิ่งใดไม่ได้ แต่เรากราบคุณธรรม นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นพระเป็นเจ้ากันเห็นไหม เราบวชมานี่เราเคารพกันด้วยคุณธรรมในหัวใจไง ถ้ามันมีคุณธรรมจริง เห็นไหม ผู้รู้ ผู้รู้ถ้ามันรู้จริงของมัน ถ้ามันรู้ไม่จริงมันแสดงเจตนา เจตนามันแสดงออก เจตนามันแสดง มันถึงต้องมีธรรมวินัยมีข้อวัตรเป็นรั้วกั้นไว้

ถ้ารู้ไม่จริง รู้ไม่จริงมันสงสัย คนเราสงสัย คนสงสัยทำอะไรมันจะจริงจังได้อย่างไร คนสงสัยทำอะไรมันระแวง ทำอะไรแล้วนี่มันละล้าละลัง มันทำไม่ได้ความเต็มใจ แต่ความมั่นใจ ถ้ามั่นใจมันทำของมันเห็นไหม ถ้ารู้จริง รู้จริงมันจะรู้ที่ไหน สังคมที่จิตวิทยาของเขา จิตวิทยามวลชนของเขา เขาควบคุมมวลชนของเขา นั่นการศึกษาทางโลกเขา เขาอาศัยมวลชนนั้นเป็นเครื่องมือ อาศัยมวลชนนั้นเป็นฐานกำลังของเขา

แต่ของเรามันไม่ใช่ เราไม่ใช่ นี่มันฐานของกิเลสไง ฐานมวลชนก็ฐานของกิเลส กิเลสมันก็ขับไสอยู่ในนี้ กิเลสมันก็เฟื่องฟูในใจเรานี่ กิเลสมันก็ทำให้อารมณ์เราวูบวาบอยู่นี่ จิตดวงหนึ่ง เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ ภพชาติแต่ละภพชาติเก็บซากศพไว้มันล้นโลก แล้วจิตดวงหนึ่งเวลากิเลสมันเฟื่องฟูขึ้นมาเห็นไหม กิเลสมันฟูมาในหัวใจ มันชักนำเราไป จะไปแข่งขันกับเขาไง จะทำอะไรก็จะเทียบกับโลก จะไปแข่งขันกับโลก แล้วมันจะไปแข่งขันกับมันทำไม

เรามีสติมีปัญญายับยั้งในหัวใจของเรานี่ มันจะมีสติปัญญายับยั้งๆ ยับยั้งกิเลสที่มันเฟื่องฟูไง ถ้าเรามีคำบริกรรม มีปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม นี่เขาคุมมวลชนเพื่อประโยชน์ฐานกำลังของเขา เราคุมหัวใจของเราไง เราจะอ่านหัวใจของคน เราต้องอ่านหัวใจของเราให้ได้ก่อนสิ ถ้าเราอ่านหัวใจของเราได้ เราจะเข้าใจหัวใจของคนหมดเลย เขาพูดทำไม เขามีปรารถนาอะไรเขาถึงทำอย่างนั้นออกมา แล้วทำออกมาแล้วทำไมเขาไม่ทำเพื่อตัวเขา ทำไมเขาต้องมาชักนำเราไปด้วยล่ะ ชักนำเราไปทำไม ชักนำเราไปเป็นฐานของเขา ชักนำเราไปเพื่อผลประโยชน์ของเขา ทำไมเราต้องไปเป็นประโยชน์ของเขาล่ะ

เพราะเราบวชมา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไง เราหาครูหาอาจารย์ไง หาครูบาอาจารย์ที่จิตใจท่านเป็นธรรม ท่านมีคุณธรรม เราลงตรงนี้ไง เราลงตรงนี้ ท่านมีคุณธรรม คนที่มีคุณธรรมจะเห็นแก่ตัวได้อย่างไร เพราะอะไร มันไม่มีตัวตน แม้แต่ตัวตนเรายังทำลายแล้ว ค้นหาเข้ามาที่ใจเรา กิเลสมันจะอยู่ได้อย่างไร มันไม่มีที่อยู่มัน มันกลิ้งตกไปหมด กิเลสที่มันเป็นมวลชน กิเลสที่มันเป็นมวลชนของกิเลสที่มันเฟื่องฟูขึ้นมาในใจ มันตั้งอยู่บนใจนี้ไม่ได้ ถ้ามันตั้งอยู่บนใจนี้ไม่ได้แล้วมันต้องการให้ใครยอมรับล่ะ มันต้องการให้ใครมายอมรับใจดวงนี้ มันไม่ต้องการ มันไม่ต้องการหรอก

ท่านมีคุณสมบัติอย่างนั้น เห็นไหม ท่านมีคุณสมบัติอย่างนั้น นี่เขาลงกันตรงนี้ไง เขาลงตรงนี้เพราะอะไร เพราะมันไว้ใจได้ ในเมื่อท่านยังเข้าใจใจของท่านเห็นไหม กิเลสมันตั้งอยู่บนใจดวงนั้นไม่ได้ กิเลสไม่มีภวาสวะ ไม่มีที่อยู่อาศัย นี่ผู้รู้จริงเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าเขาเป็นอย่างนั้นเขาทำสิ่งใดเขาทำด้วยความรอบคอบไง สิ่งใดที่จะเกิดขึ้นถ้ามีผลกระทบท่านยังพูดกันไม่ได้ท่านก็เก็บไว้ก่อน เห็นไหม นี่ควบคุมสถานการณ์ให้มันผ่านไป ถ้ามันผ่านไปแล้วนี่ สิ่งที่มันผ่านไปแล้วไปบอกกันตอนนั้นเพราะอะไร เพราะไปบอกกันในหน้างาน ไปบอกกันขณะที่มวลชนกำลังบ้าคลั่ง มันบอกไม่ได้ ยิ่งบอกมันยิ่งฮือ ยิ่งบอกยิ่งคุมเกมไม่ได้ มันยิ่งขยายผลไปมหาศาล

นี่ท่านไม่บอกเห็นไหม นี่ผู้รู้จริง คนรู้จริงเขารู้ของเขา กาลเทศะมันต้องมีของเขา แล้วมันเป็นความรู้จริง ถ้ารู้ไม่จริงก็มีข้อวัตรเป็นการตรวจสอบ ข้อวัตรธรรมวินัยเป็นการตรวจสอบนะ เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลากล้าหาญก็ต้องกล้าหาญในธรรมวินัย ต้องกล้าหาญแต่อยู่ในขอบเขตของธรรมวินัย ไม่ใช่กล้าหาญด้วยกิเลสไง พอกิเลสมันกล้าหาญก็คิดว่าฉันกล้าหาญ ฉันทำถูกต้องดีงามขึ้นไป

เวลาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ อนิยต ๒ ถ้าทำสิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่สงสัย ลับหูลับตาเป็นความสงสัยของสังคม เป็นความสงสัยของผู้กระทำ ถ้าผู้ที่เชื่อถือได้เวลามีปัญหาขึ้นมา เพราะเป็นนางวิสาขาไปเห็นเอง พอนางวิสาขาไปเห็นเองไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งอนิยต ๒ ขึ้นมา ท่านก็บอกว่า ถ้าผู้ที่เชื่อถือได้คือนางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ ไม่มีลำเอียง

ถ้าผู้ที่น่าเชื่อถือได้ ปรับอาบัติอย่างไรให้เป็นอย่างนั้น ผู้ที่น่าเชื่อถือได้ แล้วผู้ที่น่าเชื่อถือได้เห็นไหม ก็ตั้งแต่นางวิสาขาขึ้นไป แล้วเวลามีปัญหาขึ้นมา เวลาภิกษุณีท้อง ภิกษุณีท้องขึ้นมาเป็นสาวกของเทวทัต เวลาท้องขึ้นมาไปรายงานเทวทัต เทวทัตก็ให้สึก แต่เขาตั้งใจบวช เขาไม่ยอม เขาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ให้นางวิสาขาเป็นประธาน นางวิสาขาเป็นผู้หญิงด้วยกัน ภิกษุณีขึ้นไปเห็นไหม ก็ไปตรวจสอบ

ตรวจสอบแล้วมันท้องก่อนบวช นี่มันถูกต้องมาหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงมันยังไม่ได้ระบุชัดขึ้นมา ตัดสินลงไปมันก็เป็นการลำเอียง เป็นการเข้าข้าง เป็นการว่าพูดไปโดยไม่มีเหตุผล เห็นไหม ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแล้วเอาผู้ที่น่าเชื่อถือคือนางวิสาขา นางวิสาขาเป็นผู้ไปตรวจสอบ พอไปตรวจสอบขึ้นมามันเป็นความจริงขึ้นมา ก็เลยบอกว่าไม่ต้องสึก ไม่ต้องสึกเห็นไหม ภิกษุณีก็คลอดออกมา แล้วก็เลี้ยงดูกันมา บวชไปเป็นพระอรหันต์หมดเลย

นี่เห็นไหม นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นความจริง ถ้ารู้จริงมันเป็นความจริงมาต่อ ถ้าเรายังไม่จริง ทำสิ่งใดมันต้องมีข้อวัตร มันต้องมีธรรมวินัยเป็นเครื่องตรวจสอบ ตรวจสอบแล้วเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นตามจริง กล้าหาญ ต้องกล้าหาญในธรรมวินัย อย่ากล้าหาญโดยคิดว่าเราทำถูกต้องๆ

เวลาคราวจำเป็น ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาอัตคัดขาดแคลน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกภิกษุธุดงค์ไปเห็นผลไม้ ถ้าอยากฉัน ไม่มีใครประเคน ให้หยิบมาแล้วถือไป พอเห็นคฤหัสถ์ให้วางลง แล้วให้เขาประเคนให้ เวลาอัตคัดขาดแคลน พอถึงเวลาเข้ามาสมบูรณ์แล้ววินัยข้อนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกเลิกเลย

เวลาเราไปเห็นไหม ให้บังสุกุลเอาถ้าไม่มีคนประเคน ถึงเวลามันจำเป็นขึ้นมา มันจำเป็น เวลาจำเป็นขึ้นมา วินัย เราทำโดยเจตนาที่บริสุทธิ์ มันแก้ไขสิ่งนั้นได้ ถ้ามันเจตนาที่มันดี ทำสิ่งใดมันไม่ขัดหูขัดตาคน แต่ถ้าพอพ้นช่วงเวลานั้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ยกเลิกเอง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พูดไว้ในธรรมวินัย ที่พระอานนท์บอก เห็นไหม ต่อไปอนาคตวินัยเล็กน้อยให้ยกเลิกก็ได้ วินัยเล็กน้อยที่เราจะเปลี่ยนแปลงได้

พระกัสสปะเป็นคนถามพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ขึ้นมา แบบว่าเล็กน้อยแค่ไหนว่าเล็กน้อย วินัยเล็กน้อยที่ว่าให้ยกเลิกได้ให้เปลี่ยนแปลงได้แค่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกรึเปล่าว่าแค่ไหน พระอานนท์บอกว่าไม่ได้ถาม ไม่รู้แค่ไหนเล็กน้อย ถ้าไม่รู้ว่าแค่ไหนเล็กน้อยก็เลยตั้งญัตติกันขึ้นมา บอกว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว เถรวาท พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ที่ทำสังคายนา ให้ถือว่าเป็นธรรมวินัย แล้วตั้งญัตติขึ้นมาว่าไม่มีการแก้ไข ไม่กล่าวตู่ ไม่เพิ่มเติม และไม่ตัดทอน ให้มันอยู่อย่างนี้ แล้วเคารพบูชากันมา

พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เป็นผู้รู้จริงไหม สิ่งที่รู้จริงนี่สังคายนาแล้วตั้งญัตติกันไว้มา ตั้งญัตติคือลงเป็นข้อตกลงกันมา แล้วให้เราเชื่อมั่นกันมา แล้วถ้าเล็กน้อยตรงนี้จะแก้ไขกันๆ แล้วจะเอาพระอรหันต์ ๕๐๑ องค์ ๕๐๒ องค์ เอาที่ไหน เพราะเป็นการตั้งญัตติของพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ แล้วพวกเราที่ว่ามามีความเห็นกันอยู่นี่ มันมีคุณธรรมแค่ไหน มันมีความจริงแค่ไหนไง รู้จริงรู้ไม่จริงไง

ถ้ารู้จริง สิ่งนั้นมันเป็นธรรมวินัย เป็นศาสดา เราประพฤติปฏิบัติมันก็อยู่ที่เจตนาของเรา อยู่ที่ความมุมานะของเรา อยู่ที่ความเข้มแข็งของเรา เราจะมีความเข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เรามีอำนาจวาสนาบารมีแค่ไหน ถ้าอำนาจวาสนาบารมีของเรามันมั่นคง เราก็ประพฤติปฏิบัติของเรา เอาความจริงของเรา

ในความเป็นอยู่นะ เวลาคนความเป็นอยู่ เห็นไหม มันก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลากำเนิด ๔ กำเนิดในครรภ์ กำเนิดในไข่ กำเนิดในน้ำครำ กำเนิดในโอปปาติกะ กำเนิดในภพชาติใดมีอาหารอย่างใด อาหาร ๔ ในวัฏฏะ สิ่งมีชีวิตต้องมีอาหาร มันยังต้องมีอาหารการดำรงชีวิต

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเราสร้างอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมา เห็นไหม มนุษย์เขาก็ต้องมีอาหารของเขา มีปัจจัยเครื่องอาศัยของเขา เราจากมนุษย์มาบวชเป็นพระ พระมันต้องมีปัจจัย ๔ เหมือนกัน ถ้ามีปัจจัย ๔ เหมือนกัน แต่มีปัจจัย ๔ ในแบบสมณสารูป ถ้ามีปัจจัย ๔ ในแบบของสมณสารูป สมณสารูปเห็นไหม เรามีตรงไหน เวลาบวชมาแล้วก็เป็นวัดบ้าน วัดบ้านบวชมาแล้วอุปัชฌาย์อาจารย์ขึ้นมา ครูบาอาจารย์ขึ้นมาก็ให้ถือรุกขมูล แล้วแต่เราบวชเรียนแล้วเราจะปฏิบัติหรือว่าเราจะศึกษา ถ้าศึกษาก่อนมาแนวทางปฏิบัติเห็นไหม เราก็ไปแบ่งว่าวัดบ้านวัดป่า

วัดบ้านเขาก็อยู่กันด้วยสุขสมบูรณ์ของเขาเพราะมีคนอุปัฏฐากอุปถัมภ์ วัดป่าต้องอยู่ไกลจากหมู่บ้าน ๕๐๐ ช่วงธนู นี่ถึงจะเรียกว่าวัดป่า วัดป่าต้องห่างจากหมู่บ้าน ห่างจากการที่คนจะมาอุปัฏฐากอุปถัมภ์ คนที่จะมาดูแลส่งเสริม เพราะอะไร เพราะเราต้องการความสงบสงัดเห็นไหม เพราะเราถือตัว เราถือตัวว่าเราดีกว่าเขา เราเข้มแข็งกว่าเขา เรามีแรงปรารถนาว่าเราจะทำวิปัสสนาญาณ เราจะทำวิปัสสนา เราจะทำปฏิบัติของเราขึ้นมาให้เรามีคุณธรรมขึ้นมา เราอยากเป็นผู้รู้จริง รู้จริงเป็นจากปัจจัตตัง จากสันทิฏฐิโกจากหัวใจคนที่รู้จริง รู้จริงเราถึงแสวงหาสถานที่สงบสงัดอย่างนี้ นี่สิ่งที่บอกเหตุว่าเราเป็นพระป่า

ถ้าพระป่าแล้วนี่เราก็ต้องมีสติมีปัญญาของเราสิ เพราะเราเลือกอย่างนี้ เราต้องการอย่างนี้ ถ้าเราต้องการอย่างนี้ สิ่งใดที่กระทำไป กระทำไปแล้วถ้ายังไม่เป็นความจริง เราอย่าฝืนทำไป เพราะสิ่งนั้น เพราะเราจะรู้ใจเขารู้ใจเราไง เวลาใจของเขาทุกคนก็มีหัวใจใช่ไหม ทุกคนมีหัวใจก็มีความคิด ทุกคนเราจะมองคนอย่างไร เราจะมองว่าคนคนนี้มีศักยภาพ คนนี้เป็นคนที่มีปัญญา เรารู้ได้อย่างไรว่าคนทุกข์จนเข็ญใจเขาเป็นพระโพธิสัตว์ เขาเป็นผู้ปรารถนาพ้นทุกข์ เขาเป็นผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เรารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งมีชีวิตที่เราเห็นอยู่นี่เขามีคุณธรรมในใจมากน้อยแค่ไหน

เราจะมองจากสถานะของมนุษย์ไม่ได้ เราจะมองสถานะจากภายนอกไม่ได้ มันจะมองสถานะจากภายใน เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่หนองผือ เห็นไหม ยายกั้งๆ น่ะ เป็นคนชราภาพอยู่ที่หนองผือ เวลาเขาภาวนาเขาเห็นไปหมด เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังธรรมหลวงปู่มั่น มาหาหลวงปู่มั่นเลยว่า เมื่อคืนนี้ใครมาหาบ้างๆ เขาเป็นคนบ้านนอกคอกนา เขาเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ทำไมเขามีคุณธรรมอย่างนั้น เวลาเขาพูดสิ่งใดมาหลวงปู่มั่นไม่เคยคัดค้านเลย มันเป็นความจริงๆ ทั้งหมดเลย เราจะมองคนอย่างไร

เราจะมองว่าคนคนไหนเขามีปัญญาหรือไม่มีปัญญา คนคนไหนเขามีอำนาจวาสนาบารมี คนคนไหนเขาคิดเป็นเขาคิดไม่เป็น ถ้าเขาคิดเป็นเห็นไหม นั่นน่ะ ความเห็นว่าเราจะรู้ใจของคนอื่น ถ้าเราจะรู้ใจของเขา เราจะรู้จักความรู้สึกของเขา เราจะต้องรู้จักความรู้สึกของเราก่อน จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงหนึ่งไม่เคยพัฒนาการขึ้นมาเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าการพัฒนาการของจิตแต่ละดวงมันจะพัฒนาขึ้นมาอย่างไร

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดูสิ เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะขึ้นมาแล้ว เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไปศึกษากับเขามา ศึกษาทางโลกมามากขนาดไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เองขึ้นมาโดยชอบ ตรัสรู้ขึ้นมาแล้วเสวยวิมุตติสุข ระลึกถึงว่าจะเอาใครก่อน จะสอนใครก่อน จะสอนใครเห็นไหม เพราะมีคุณธรรมมีความจริงขึ้นมาแล้ว

จากใจดวงหนึ่ง ใจที่มืดบอด ใจที่มันกำลังแสวงหากันอยู่นี่ แสวงหาด้วยการตะครุบเงา ด้วยความที่ไม่มีความจริงขึ้นมา มันเป็นอย่างไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติมา ๖ ปี ตะครุบมากับเขา แข่งขันมากับเขา ทำมากับเขา ไปศึกษากับผู้ที่มีความรู้มากกว่าก็ไปศึกษามาหมดแล้ว สิ่งที่ตะครุบเงาอยู่มันเป็นอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีประสบการณ์ ทั้งๆ ที่ในใจก็มีอำนาจวาสนาบารมีนะ

แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมา ความเป็นจริงขึ้นมามันทำขึ้นมาอย่างไร บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มันบอกหมดแล้วล่ะ เพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณก็อดีตที่มาไง สิ่งทีเราทำมาเห็นไหม ดูสิ ตั้งแต่ ๖ ปีย้อนไปเจ้าชายสิทธัตถะ จากเจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระเวสสันดร มันย้อนไป มันเห็นการพัฒนาการของใจของเรามาเห็นไหม แล้วถ้ามันไม่จบสิ้นไป ดูสิมันวิวัฒนาการของมันไป จุตูปปาตญาณมันไปเกิดข้างหน้ามันเป็นอย่างไร แล้วอาสวักขยญาณทำลายกิเลสอวิชชาไปแล้ว วิมุตติสุขมันเป็นอย่างไร พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเสวยวิมุตติสุขแล้วจะเอาใครก่อนๆ เห็นไหม จะเอาใคร อาฬารดาบสที่เคยไปศึกษาก็ตายเสียแล้ว คนตายแล้วก็รู้ว่าคนไหนตายแล้ว คนไหนตายไม่แล้ว เวลามันแจ่มแจ้งในใจ รู้แจ้งโลกนอก โลกใน

โลกนอกเห็นไหม การเกิดการตาย การเวียนว่านตายเกิดในวัฏฏะ คนจะเป็นอย่างไร คนที่ทุกข์ยากมานี่เขาควรจะมีคุณธรรมอย่างไร เขาต้องการอุบายอย่างไรสอนเขา เขาจะได้ประโยชน์อย่างไรขึ้นมาเห็นไหม นี่โลกนอก

โลกในล่ะ โลกในโลกของกิเลสไง ในใจของตนอยากรู้ใจเขาๆ นี่ ในใจของคน คนที่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีทิฏฐิมานะอย่างไร ใครมันยอมใคร ไม่มีใครยอมใครหรอก

เห็นไหมดูสิ เราหาที่ลงใจๆ เราหาครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรม เขาไม่ยอมลงใครหรอก กิเลสจะข่มขี่กิเลสไม่ได้ เอากิเลสมาข่มขี่ ดูสิ จิตวิทยามวลชน เวลาเขาพูดปลุกระดม เขาปลุกระดม เขามีเป้าหมาย เป้าหมายเห็นไหม มีการโดนกดขี่ มีชนชั้น เขาพูดระดมให้คนมีมุมมองเดียวกัน ถ้าพูดปลุกระดมขึ้นมาให้คนมีเป้าหมาย ให้คนรวมเป็นพลังขึ้นมา นี่เขาปลุกระดมๆ

แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาความจริงขึ้นมาเพื่อจะให้เขายอมรับๆ เอาความยอมรับมาจากไหน ถ้ายอมรับ ถ้ามันไม่มีความจริงขึ้นมาเห็นไหม ถ้ารู้ไม่จริงมันก็ต้องมีธรรมวินัยมาเป็นเครื่องกรอง ถ้าเครื่องกรองเห็นไหม สมณสารูป อย่างน้อยมันต้องมีสมณสารูป สมณสารูปอะไรผิดอะไรถูก เขามองตรงนี้ก่อน ถ้ามองตรงนี้ก่อนนะ แต่ถ้ามีความคุ้นชินแล้ว คุ้นชินครูบาอาจารย์องค์นี้ ครูบาอาจารย์องค์นี้มีคุณธรรมจริง สิ่งที่มันเป็นวาระ สิ่งที่เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นๆ ความจำเป็นก็แค่ความจำเป็น

คนที่มีคุณธรรมเขาจะรู้ความจำเป็นมีแค่ไหน พอหมดจากความจำเป็นนั้น ส่วนนั้นแล้วมันต้องละวางได้ นี่คนที่มีคุณธรรมนะ ไม่ใช่เอาความจำเป็นนั้นเป็นตัวตั้ง ถ้ามีความจำเป็นมันก็ความจำเป็นตลอดไป เราก็บอกเลยมีความจำเป็นตลอดไป ทุกคนก็มีความจำเป็น ฉันมีความจำเป็นอย่างนี้ ต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป

แล้วอยู่อย่างนี้ตลอดไปดูสิ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา วันไหนจิตที่มันลงได้ง่ายมันก็ลง แล้วเคยลงได้แล้วทำไมมันไม่ลงอีก มีความจำเป็นไหมล่ะ ถ้ามันเคยลงมันเคยดีงามขึ้นมาแล้วนี้ มันดีงามขึ้นมาเพราะเหตุใดล่ะ มันดีงามขึ้นมาเพราะตอนที่มันดีงามนี่เราต้องมีความเพียรดีมา ถ้าคนไม่มีความเพียรความวิริยะความอุตสาหะมา จิตไม่มีทางลงได้

จิตที่มันจะลงได้ เพราะว่ามันสมดุล มัชฌิมาปฏิปทามันสมดุล มันพอดีของมัน เห็นไหม ขั้นของขณิกะ ขั้นของอุปจาระ ขั้นของอัปปนา ขั้นของยกขึ้นวิปัสสนาเห็นไหม โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันมีวิวัฒนาการของมัน มันต้องมีวิวัฒนาการของมัน

ถ้าวิวัฒนาการอย่างนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ ถ้ามันเกิดมาว่าเรามีความจำเป็นๆ ความจำเป็นอันนั้นมันเป็นความจำเป็นสิ่งใด แต่เวลาถ้ามันลงได้ มันลงได้เพราะมันต้องมีความเพียรชอบ มีความเพียรมีความถูกต้องดีงามมันถึงได้ลง พอมันมาลงแล้วเราอยากได้มรรคได้ผล อยากให้มีความวิวัฒนาการ อยากพัฒนามันขึ้นไป แล้วพัฒนามันขึ้นไปอย่างไรล่ะ

นักกีฬาเห็นไหม นักกีฬาถ้าเขามีกำลังของเขา เขาต้องฝึกทักษะของเขา เขามีทักษะของเขา เขามีทักษะ เขามีประสบการณ์ของเขา ประสบการณ์การแข่งขัน ประสบการณ์อันนั้นสำคัญ ประสบการณ์สำคัญเพราะอะไร เพราะเวลาแข่งขัน มันก็จะแข่งขันตั้งแต่ผู้มีประสบการณ์น้อยๆ มาด้วยกัน เวลาโตขึ้นมาๆ มันพัฒนาของมันขึ้นไป ถ้าประสบการณ์ เทคนิคของเขา ประสบการณ์ของเขา เขาชิงความได้เปรียบ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันจะลงมันลงอย่างไร แล้วเวลามันไม่ลงมันไม่ลงเพราะอะไร ถ้ามันไม่ลงเห็นไหม เขาต้องไปเพิ่มตรงนั้น ถ้ามันเพิ่มตรงนั้นแล้ว นี่ความเป็นอยู่ภายนอกมันของเล็กน้อยมาก เราไม่ได้เอาความเป็นอยู่อันนั้นมาเป็นการประกาศตนเห็นไหม ดูสิเวลาเราบอกว่า เราเป็นพระๆ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศถาบรรดาศักดิ์ จะไปเทียมหน้าเทียมตาสังคม สังคมเขาไปไหนเขามีคนล้อมหน้าล้อมหลัง พระก็อยากให้เป็นอย่างนั้น ไอ้พระอย่างนั้นมันพระการเมือง

พระจริงๆ เขาไม่เป็นอย่างนั้นหรอก พระจริงๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านไปไหนท่านไปด้วยตัวของท่านคนเดียว เวลาหลวงปู่มั่นไปวิเวกไม่ให้ใครติดสอยห้อยตามเลย จนแต่ท่านชราภาพแล้ว พอท่านชราภาพแล้วใครมาอุปัฏฐากบ้างท่านถึงยอม นี่ไง ยอมเพราะมันไปตามสรีระ คนเรามันชราคร่ำคร่าเป็นเรื่องธรรมดา

แต่เรื่องธรรมดาขึ้นมาแล้วนี่เห็นไหม ถึงคราวที่จะให้ใครมาอุปัฏฐากดูแลก็เป็นคราวไป นี่ของจริงมันเป็นแบบนั้น มันไม่ใช่มาเทียมหน้าเทียมตากับโลก ไอ้เรื่องที่ไปเทียมหน้าเทียมตานั่นเป็นเรื่องโลก ก็เราละมันมา แต่นี้เราอยู่ในสังคมใช่ไหม ในปัจจุบันนี้ พระเราถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์ก็จะไปแข่งขันกับทางโลกเขา แล้วเราไปอยู่สังคมอย่างนั้น มันไปคุ้นชินเข้า ไปอยู่บ่อยครั้งเข้า ก็เลยเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นความดีขึ้นมาซะ

แล้วไอ้เรื่องที่ว่าอัตคัดขาดแคลน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอายเลยนะ ไอ้พระกรรมฐานเรานี่ ไอ้พระที่มีบริขาร ๘ มันเลยเป็นพระที่น่าอาย เป็นพระที่ไม่มีศักดิ์ศรีไปเลย แล้วเราก็ทนไม่ได้ อ๋อ ถ้าฉันไม่มีศักดิ์ศรีใช่ไหม เดี๋ยวฉันสั่งมาเลย บริขารที่ไหน ไปไหนต้องมีบริขาร ๒ ชุด ชุดหนึ่งเอาไว้ใช้ ชุดหนึ่งเอาไว้ให้ศักดิ์ศรี อวดเขาไง เขามีบาตรใบเดียว ฉันมี ๒ ใบ เขามีผ้า ๓ ผืน ฉันมี ๖ มีบริขารชุดหนึ่ง ยังมีอีกชุดหนึ่งเอาไว้เพื่อศักดิ์ศรี

ถ้าเราไปอยู่สังคมอย่างนั้น ถ้ากิเลสของเรามันฟูขึ้นมา มันจะไปเทียมหน้าเทียมตากับเขา อันนั้นเป็นเรื่องโลก พระการเมือง เวลาเป็นการเมืองอยากได้ฐานันดรศักดิ์ ก็ว่าฉันมีคุณงามความดี ความดีในพุทธศาสนาก็ความดีของสมณสารูป ความดีของคุณธรรมก็อยากจะสร้างมีคุณธรรมขึ้นมา ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาเวลาไปอยู่กับสังคมโลก สังคมโลกเขาต้องมีวัตถุไว้คอยเชิดชูสถานะ ก็อยากมีกับเขาอีก

มันกลับกันน่ะ กลับหัวกลับหาง เวลาจะภาวนามันต้องมักน้อยสันโดษ มักน้อยสันโดษเห็นไหม ไม่ใช่จิตวิทยามวลชน เวลายุแหย่ขึ้นมาให้กิเลสมันฟูขึ้นมา มันต้องมีสติปัญญายับยั้งมัน กดขี่มันเห็นไหม ให้มันสงบเป็นสมาธิขึ้นมา เวลามันมีสมาธิขึ้นมาแล้ว ถ้ามีสติปัญญาจะยกขึ้นวิปัสสนามันเกิดมรรค อัตตัตถสมบัติ สมบัติของพระ

เวลาอยากมีคนนับหน้าถือตาก็บอกว่าฉันมีคุณธรรม ฉันมีศีล สมาธิ ปัญญาในหัวใจ แต่เวลาออกไปมวลชนก็อยากจะมีสถานะทางโลก แล้วมันจะทำอย่างไรเนี่ย นี่พระการเมืองเห็นไหม พระการเมืองเวลาอยู่ในสถานะของพระก็ว่าตัวเองมีคุณธรรม ให้คนยอมรับนับหน้าถือตา เวลาจะออกไปทางโลกก็อยากจะมีฐานันดรศักดิ์ อยากจะมีสมณศักดิ์ให้ไปเทียมหน้าเทียมตาเขาอีก แล้วจะเอาอะไร

จะเอาอะไรเนี่ย แล้วจะเอาอะไรในตัวเรานี่ มันก็เลยไม่ได้ จะว่าจะประพฤติปฏิบัติให้มีอัตตัตถสมบัติ ให้มีมรรคมีผลขึ้นมามันก็ทำไม่ได้ เพราะจิตใจมันไม่มั่นคง จิตใจมันไม่ปรารถนาเป้าหมายคือมรรคผลนิพพาน ถ้าเป้าหมายมรรคผลนิพพาน สิ่งใดที่มันเป็นอุปสรรค สิ่งใดที่มันเป็นขวากหนาม เราไม่ควรเอาเข้ามาใกล้ คนเรานี่มีเป้าหมายนะ ถ้ามีเป้าหมายของเรา เราจะพยายามมัคโค ทางอันเอก ทางของจิตที่จะก้าวเดินไป เราพยายามต้องรักษาเส้นทางของเรา ถ้าเส้นทางของเราเห็นไหม มันจะสู่เป้าหมายนั้น ถ้ามันสู่เป้าหมายนั้นแล้วถ้าจิตมันเป็นคุณธรรมจริง มันก็ย้อนกลับมาในใจของครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นธรรมจริง เป็นธรรมจริงของท่าน ท่านไม่ปรารถนา

แล้วพอไม่ปรารถนา ทางโลกเขาก็บอกว่าอย่างนั้นมันจะเป็นความสุขได้อย่างไร คนที่ปฏิบัติไม่ถึง คนที่ไม่เข้าใจก็ว่าอย่างนั้นจะเป็นความสุขได้อย่างไร แล้วว่ากินอยู่หลับ นอนสุขสบาย มันก็จะเป็นความสุขได้อย่างไร เอ้า ถามกลับ แล้วเวลาเขาอยู่ป่าอยู่เขา เขาอยู่ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์เขามีความสุข ความสุขเพราะอะไร เพราะมันมีวิหารธรรม

จิตใจมีคุณธรรม มันไม่ใช่หมาขี้เรื้อน มันสงบนิ่ง มันมีความสุขของเขา จิตใจที่ไม่มีคุณธรรม อยากมีคุณธรรมน่ะหมาขี้เรื้อน พอหมาขี้เรื้อนมันคันมันก็จะเกา พอมันเกาขึ้นมามันก็แสดงกิริยาอาการเกานั้นออกมา การเกาออกมาเห็นไหม เขาถึงบอกว่ามันจะหาความสุขจากทางโลกไง ก็คิดว่าอย่างนั้นจะเป็นสุขอย่างนี้จะเป็นสุข ก็มันขี้เรื้อน ขี้เรื้อนมันก็จะหายาทา ขี้เรื้อนมันก็ไอ้นู่นก็จะดี ไอ้นี่ก็จะดี ไอ้นู่นก็จะดี แล้วก็เกาอยู่อย่างนั้น เลือดโชกอยู่อย่างนั้น มันไม่ได้จริงเลย

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม มันมีความสุข ที่ว่าประหยัดมัธยัสถ์มีความสุขเพราะประหยัดมัธยัสถ์ ในทางโลกการอยู่การกินนี่เขาอยู่การกินพอดำรงชีวิต เห็นไหมเพื่อรักษาสุขภาพกาย ตอนนี้สุขภาพที่เสียหาย สุขภาพของคนที่เสียหายเพราะกินมาก โรคอ้วนตอนนี้เป็นปัญหาของโลก แต่ก่อนเราก็ว่าเราขาดแคลน เด็กเป็นเด็กขาดสารอาหาร เด็กท้องป่อง เมื่อก่อนเด็กขาดสารอาหาร ตอนนี้เขาก็พยายามจะหาโภชนาการเพื่อให้สุขภาพของคนแข็งแรง

ฉะนั้นโภชนาการขึ้นมาด้วยความโลก มันก็เสพจนอ้วนท้วน จนอ้วนเกินไปเป็นโรคอ้วน นี่มันเห็นไหม สิ่งที่เราจะไปปรนเปรอกิเลสๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ สิ่งที่ว่าเรากินก็กินเพื่ออยู่ กินเพื่ออยู่เท่านั้น แล้วกินเพื่ออยู่เห็นไหม แล้วเราจะมีความสุขอย่างไร

ฉะนั้น สิ่งที่ครูบาอาจารย์เราไม่ใช่ท่านไม่มีนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น คนที่เขาเคารพนบนอบเป็นคฤหบดีประจำจังหวัดทุกจังหวัด เขามีแต่คนมั่งมีศรีสุขทั้งนั้น เขามั่งมีศรีสุขทางโลกแต่หัวใจเขาว้าเหว่ เขาอยากมีที่พึ่ง เขาก็มายกตัวของเขามาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น แล้วคนที่เขายอมลงตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหาด้วยความเคารพบูชา สิ่งใดที่อาจารย์ของเขาอัตคัดขาดแคลน เขาจะหามาถวายอาจารย์เขาได้ไหม ยิ่งกว่าได้อีก

แต่ทำไมครูบาอาจารย์ของเขาไม่ต้องการสิ่งนั้นล่ะ ครูบาอาจารย์ของเขากลับต้องการให้เขามีสติ พยายามให้เขาฝึกหัดภาวนาขึ้นมา เพื่อต้องการให้หัวใจของเขาได้มีที่พักที่พึ่งพิง อาจารย์ของเขาไม่ปรารถนาทรัพย์สมบัติที่ของเขาเอามาถวายเลย อาจารย์ของเขาต้องการหัวใจของเขาที่มีสติที่ฝึกหัดภาวนาให้เขามีวิหารธรรมขึ้นมาในใจของเขา ครูบาอาจารย์ของเขาที่มีปัญญาสูงกว่าจะดึง จะเชิดชู จะพยายามแก้ไขให้หัวใจของเขามีคุณธรรม

นี่มันเป็นมุมมองที่แตกต่างกัน เวลามุมมองที่แตกต่างกัน ลูกศิษย์ลูกหาก็อยากจะให้ครูบาอาจารย์ตัวเองมีความสุข ตัวครูบาอาจารย์ของเรามีปัจจัยเครื่องอาศัยที่สมบูรณ์ ไอ้ครูบาอาจารย์ก็อยากให้ลูกศิษย์ที่ว่ามันสมบูรณ์ๆ ในทางโลกให้มันมีคุณธรรมในหัวใจของมัน ฝึกหัดหัวใจของมันขึ้นมา

ถ้ารู้จริงกับรู้ไม่จริงมันต่างกันอย่างนี้ ไอ้รู้ไม่จริงก็อยากจะเชิดชูดูแลครูบาอาจารย์ของเรา ไอ้ครูบาอาจารย์ของเราก็อยากให้ลูกศิษย์ลูกหามันมีที่พึ่งในหัวใจ ถ้ามันมีที่พึ่งในหัวใจขึ้นมาเห็นไหม มันมีมุมแตกต่างกันเพราะรู้จริงกับรู้ไม่จริงไง ถ้ารู้จริงขึ้นมามันก็จบ รู้จริง เห็นจริง มันเป็นความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย คงที่ตายตัว จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วจิตที่มันมีคุณภาพของมัน จิตที่มันมีคุณธรรมของมัน ธรรมธาตุอันนี้ที่มันไม่เกิดอีกแล้วมันไม่เกิดอย่างไร มันมีวิหารธรรม

คนเรานะ เราไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เหมือนคนหนีไฟ เวลาไฟไหม้บ้านทุกคนตื่นตกใจวิ่งออกจากบ้านไป แล้วไม่รู้ไปไหน คืนนี้ไม่มีที่พักอาศัย เวลาคนตายจิตออกจากร่างไปมันเป็นแบบนั้นนะ แต่คนที่เขาอิ่มเต็มของเขา เห็นไหม เขาไม่มีการไปและไม่มีการมาในใจของเขา เขาวิตกกังวลอะไร มันไม่มีอะไรไหม้ ไฟก็ไม่ได้ไหม้ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แล้วไม่ต้องไปแล้วไม่ต้องมา มันอยู่ของมันอยู่อย่างนั้น นี่คนที่มีคุณธรรม

ไอ้ของเรานี่จิตใจที่มันไม่มี มันเร่าร้อนขนาดไหน เวลาไฟไหม้บ้าน วิ่งออกจากบ้านมาเพราะไฟมันไหม้ อยู่ก็ตาย ออกจากเรือนมาก็ไม่มีที่ซุกหัว เสื้อผ้าก็ไม่มี มันเผาหมดเลย มันไม่มีอะไรเลย ออกมาก็มีแต่บาปกับบุญไปกับเรา นี่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดไง

ฉะนั้นสิ่งที่คนทำ คนทำอย่างนี้ เราพยายามฝึกฝนเราขึ้นมา เราปฏิบัติขึ้นมา เพราะยังมีโอกาสนะ ยังนั่งได้ ยังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ยังมีสติสัมปชัญญะ เราทำให้ดีขึ้นมา ถ้ากล้าหาญให้กล้าหาญในธรรมวินัย เพราะเราเป็นพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกานี่เขาก็ศึกษาศาสนาเหมือนกัน เขาก็รู้ธรรมวินัยเหมือนกัน เขาก็เพ่งเล็งเราอยู่ เพราะเขาหาความจริง เขาอยากหาครูบาอาจารย์ที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้เขาจะฝากชีวิตของเขาไว้กับครูบาอาจารย์อย่างนั้น

ฉะนั้นเราเป็นพระ เราพยายามประพฤติปฏิบัติ เราพยายามต้องศึกษาใจของเรา ให้เราเชื่อมั่นในใจของเรา ถ้าเราเชื่อมั่นในใจของเรา เราเห็นจริงในใจของเรา เรารู้จริงขึ้นมา เราทำสิ่งใดเขาเชื่อมั่นเรา เขาฝากชีวิตกับเราได้ แต่เราเองเรายังโลเล เราเองเราหยิบจับสิ่งใดเรายังสงสัย เรายังไม่แน่ใจ ถ้าเราเองไม่แน่ใจแล้วจะให้ใครเขาแน่ใจกับเราได้ล่ะ เราต้องแน่ใจในตัวเราก่อนนะ เราพยายามทำใจของเราให้มั่นคงนะ ถ้าทำใจของเราให้มั่นคงขึ้นมา เราจะเป็นผู้รู้จริง เอวัง